Monday, July 29, 2013

ข้าฯ จะไม่รบอีกแล้ว @~~

บทความนี้ผมได้มาจากเว็บ http://www.bloggang.com แล้วนำมาลงที่นี่อีกทีนึงนะครับที่เอามาลงใหม่เพราะอยากช่วยกระจายเนื้อหาดีๆอย่างนี้ให้หลายๆคนได้อ่านกัน ผมอ่านแล้วขนลุกเลย ไม่ใ่ช่ขนลุกเพราะกลัวนะครับแต่เพราะว่าสุนทรพจน์ที่ตอบกลับไปนั้นกินใจมาก พวกเขารักและเทิดทูนธรรมชาติอย่างสูงสุด ต่างกับยุคสมัยนี้ที่หลายๆคนต่างทำลายธรรมชาติเพื่อสนองกิเลสของตนเอง เช่น ตัดไม้ทำลายป่าเพื่อให้มีเงิน, ซื้ออาหารราคาแพงๆมากินเพียงคำสองคำเพราะกลัวว่ากินมากแล้วจะอ้วนแล้วก็ทิ้งอาหารที่เหลือเป็นขยะไป,ช็อปปิ้งในห้างสรรพสินค้าอย่างสนุกสนานทั้งๆที่ของที่ซื้อไปนั้นของเก่าตัวเองก็ยังมีอยู่(เช่นผู้หญิงที่มักจะมีรองเท้าหลายๆคู่) ฯลฯ และยิ่งวันนี้ผมได้อ่านเจอคำถามหนึ่งในเน็ตว่า ทำไมคนอเมริกันสมัยก่อน ไม่ใช้อินเดียนแดงเป็นทาส แล้วยิ่งทำให้ผมเห็นใจกับคนอินเดียนแดงมากขึ้นไปอีก ถ้าเทียบกับบ้านเรามันเหมือนกับคำถามว่าทำไมไม่เอาพระเป็นทาส ความหวังของผมคือเมื่อท่านอ่านจบแล้วจะคิดและทบทวนในสิ่งที่เราทำไปว่าเราได้ทำอะไรที่ทำร้ายธรรมชาติไปบ้างและอยากให้ลด ละ เลิกในการกระทำเหล่านั้น เพื่อลูกหลานและโลกที่เราอาศัยอยู่
     สุนทรพจน์อาจจะยาว แต่อยากให้อ่านทุกบรรทัดนะครับผมรับรองได้ว่าคุณจะตั้งใจอ่านจนจบไปเองเพราะเนื้อหาเข้าใจง่ายไม่ซับซ้อน


ข้าฯ จะไม่รบอีกแล้ว




~*~สุนทรพจน์ของ Chief Seattle~*~

ค.ศ.1857 หัวหน้าเผ่าอินเดียนแดงได้กล่าวสุนทรพจน์
เป็นการตอบข้อเรียกร้องจากประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา 
ที่ขอซื้อดินแดนจากเผ่าอินเดียนแดง 


สุนทรพจน์นี้มีความหมายลึกซึ้งและคมคายมาก จนได้รับการยกย่อง
ว่า “เป็นการบรรยายความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม
ที่ประทับใจที่สุดเท่าที่เคยปรากฎ ทั้งในอดีตและปัจจุบัน” 

ขณะปัจจุบัน เอกสารฉบับนี้ได้รับการเก็บรักษาเอาไว้ในกรุงวอชิงตัน 




แผ่นดินนี้มิได้เป็นของท่าน และมิได้เป็นของเรา 

Born to be...Me


หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งวอชิงตันได้แจ้งมาว่า

เขาต้องการที่จะซื้อดินแดนของพวกเรา

ท่านหัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่ยังได้กล่าวแสดงความเป็นมิตร

และความมีน้ำใจต่อเราอีกด้วย

นับเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง

เพราะเรารู้ดีว่า มิตรภาพจากเรานั้น
ไม่ใช่สิ่งจำเป็นอะไรสำหรับเขาเลย

แต่เราพิจารณาข้อเสนอของท่านเพราะเรารู้ว่า

ถ้าเราไม่ขาย พวกคนขาวก็อาจจะขนปืน
มายึดดินแดนของพวกเราอยู่ดี



แต่ท้องฟ้าและความอบอุ่นของแผ่นดินนั้น
เขาซื้อขายกันได้อย่างไร

ความคิดเช่นนี้เป็นสิ่งที่แปลกประหลาดสำหรับพวกเรา

หากความสดชื่นของอากาศ
และความใสสะอาดของธารน้ำนั้น

มิได้เป็นทรัพย์สมบัติส่วนตัวของเราแล้ว

ท่านจะซื้อสิ่งเหล่านี้ไปจากเราได้อย่างไร

ทุกส่วนของแผ่นดินนี้ถือว่าศักดิ์สิทธิ์ต่อชนเผ่าของเรา


ใบสนทุกใบ หาดทรายทุกแห่ง
ป่าไม้ ทุ่งโล่ง และแมลงเล็กๆ ทุกตัว

คือความทรงจำ คือประสบการณ์
อันศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์เรา

อดีตของชาวอินเดียนแดงนั้น
ไหลซึมวนเวียนอยู่ในยางไม้ทั่วทั้งป่านี้

วิญญานของคนขาวนั้น
ไม่มีความผูกพันกับถิ่นกำเนิดของเขา

แต่วิญญานของพวกเราไม่มีวันรู้ลืมแผ่นดินอันแสนงดงาม

และเปรียบเสมือนเป็นแม่ของชาวอินเดียนแดง

เราเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดิน
และแผ่นดินก็เป็นส่วนหนึ่งของเราเช่นกัน

กลิ่นหอมของดอกไม้นั้น
เปรียบเสมือนพี่สาวน้องสาวของเรา

สัตว์ต่างๆ เช่น กวาง นกอินทรี คือพี่น้องของเรา

ขุนเขาและความชุ่มชื้นของทุ่งหญ้า
และไออุ่นจากม้าที่เราเลี้ยงไว้

ก็คือส่วนหนึ่งของครอบครัวเราเช่นกัน



ดังนั้น การที่หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่แห่งวอชิงตัน
ขอซื้อดินแดนของเรา

จึงเป็นข้อเรียกร้องที่ใหญ่หลวงนัก

หัวหน้าผู้ยิ่งใหญ่แจ้งมาว่า

เขาจะจัดที่อยู่ใหม่ให้พวกเราอยู่ตามลำพังอย่างสุขสบาย

และเขาจะทำตัวเสมือนพ่อ และเราก็จะเป็นเหมือนลูกๆของเขา

ดังนี้ เราจึงจะพิจารณาข้อเสนอที่ท่านขอซื้อแผ่นดินของเรา

แต่ไม่ใช่ของง่าย เพราะแผ่นดินนี้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรา




กระแสน้ำระยิบระยับ

ที่ไหลไปตามลำธารแม่น้ำและทะเลสาบที่ใสสะอาดนั้น

เต็มไปด้วยอดีตและความทรงจำของชาวอินเดียนแดง


เสียงกระซิบแห่งน้ำคือเสียงของบรรพบุรุษของเรา

แม่น้ำคือสายเลือดของเรา

เราอาศัยเป็นทางสัญจร เป็นที่ดับกระหาย

และเป็นแหล่งอาหารสำหรับลูกหลานของเรา

ถ้าเราขายดินแดนนี้ให้ท่าน



ท่านจะต้องจดจำและสั่งสอนลูกหลานของท่านด้วยว่า

แม่น้ำคือสายเลือดของเราและท่าน

ท่านจะต้องปฏิบัติกับแม่น้ำเสมือนเป็นญาติพี่น้องของท่าน

ชาวอินเดียนแดงมักจะหลีกทางให้กับคนผิวขาวเสมอมา

เหมือนกับหมอกบนขุนเขา ที่ร่นหนีแสงแดดในยามรุ่งอรุณ

แต่เถ้าถ่านของบรรพบุรุษของเรา เป็นสิ่งซึ่งเราสักการะบูชา

และหลุมฝังศพของท่านเหล่านั้นเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์

เช่นเดียวกับเทือกเขาและป่าไม้

เทพเจ้าประทานแผ่นดินส่วนนี้ไว้ให้กับพวกเรา

เรารู้ดีว่าคนผิวขาวไม่เข้าใจวิถีชีวิตของเรา

สำหรับเขาแล้ว แผ่นดินไหนๆ ก็ตามก็เหมือนกันหมด

เพราะพวกเขาคือคนแปลกถิ่น
ที่เข้ามากอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาอยากได้

คนผิวขาวไม่ได้ถือว่าแผ่นดินเป็นเลือดเนื้อของเขา แต่เป็นศัตรู

และเมื่อเขาเอาชนะได้แล้วเขาก็จะทิ้งแผ่นดินนั้นไป

แล้วก็ทิ้งเถ้าถ่านเอาไว้เบื้องหลัง อย่างไม่ใยดี

เถ้าถ่านบรรพบุรุษและถิ่นกำเนิดของลูกหลาน

ไม่มีอยู่ในความทรงจำของพวกคนผิวขาว

เขาปฏิบัติต่อผู้ให้กำเนิด ญาติพี่น้อง แผ่นดิน และท้องฟ้า

เสมือนสิ่งของที่มีไว้ซื้อขายได้

มันเป็นราวกับฝูงแกะ หรือสายลูกประคำ

ความหิวกระหายของคนผิวขาว
จะสูบความอุดมสมบูรณ์จากแผ่นดิน

และเหลือไว้แต่ทะเลทรายอันแห้งผาก

ข้าฯไม่เข้าใจ เพราะวิถีชีวิตของเรานั้นต่างกับของท่าน

สภาพบ้านเมืองท่านเป็นสิ่งที่บาดตาของชาวอินเดียนแดง

แต่ทั้งนี้อาจเป็นเพราะพวกเราเป็นคนป่าเถื่อนและไม่รู้จักอะไร

ในบ้านของคนผิวขาว ไม่มีที่ใดเลยที่เงียบสงบ

ไม่มีที่ ที่จะได้ฟังเสียงใบไม้พัด ด้วยกระแสลม ในฤดูใบไม้ผลิ

หรือเสียงปีกแมลงที่บินไปมา

ทั้งนี้อาจเป็นเพราะ พวกข้าฯ เป็นคนป่าเถื่อนไม่รู้จักอะไร

เสียงในเมืองทำให้รู้สึกแสบแก้วหู

ชีวิตจะมีความหมายอะไร

เมื่อปราศจากเสียงนก และเสียงกบเขียด
ร้องโต้ตอบกัน ในยามค่ำคืน

ข้าฯ เป็นอินเดียนแดง

ข้าฯ ไม่สามารถเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้

ชาวอินเดียนแดง รักที่จะอยู่กับเสียงและกลิ่น
ของสายลม ฝนและกลิ่นไอของป่าได้






"ท่านต้องสอนให้ลูกหลานของท่านให้รู้ว่า

แผ่นดินที่เขาเหยียบอยู่ คือ เถ้าถ่านของบรรพบุรุษของเรา

เพื่อเขาจะได้เคารพแผ่นดินนี้

บอกลูกหลานของท่านด้วยว่า

โลกนี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยชีวิต อันเป็นญาติพี่น้อง ของพวกเรา

สั่งสอนลูกหลานของท่าน

เช่นเดียวกับที่เราสอนลูกหลานของเราเสมอมาว่า

โลกนี้ คือ แม่ ของเรา

ความวิบัติใดๆ ที่เกิดขึ้นกับโลก ก็จะเกิดขึ้นกับเราด้วย


หากมนุษย์ถ่มน้ำลายรดแผ่นดิน
ก็เท่ากับมนุษย์ถ่มน้ำลายรดตัวเอง

เรารู้ดีว่า โลกนี้ไม่ได้เป็นของมนุษย์

แต่มนุษย์เป็นส่วนหนึ่ง ของโลกนี้

ทุกสิ่งทุกอย่างมีส่วนสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน


เช่นเดียวกับสายเลือด ที่สร้างความผูกพันใน ครอบครัว

ทุกสิ่งทุกอย่าง มีส่วนผูกพันต่อกัน

ความวิบัติที่เกิดขึ้นกับโลกนี้ จะเกิดขึ้นกับมนุษย์เช่นกัน

มนุษย์มิได้ เป็นผู้สร้างเส้นใย แห่งมวลชีวิต

แต่มนุษย์เป็นเพียงเส้นใยเส้นหนึ่งเท่านั้น

หากเขาทำลายเส้นใยเหล่านี้..

เขาก็ทำลายตัวเอง"


แปลโดยคุณพิสิษฐ์ ณ พัทลุง

No comments:

Post a Comment