Thursday, July 25, 2013

ประวัติศาสตร์ประเทศไทย history of Thailand




การศึกษาประวัติศาสตร์ไทยมักเริ่มนับตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัยเป็นต้นมา หากแต่ในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบัน พบหลักฐานของมนุษย์ซึ่งมีอายุเก่าแก่ที่สุดถึงห้าแสนปี[1] ตลอดจนหลักฐานของอารยธรรมและรัฐโบราณเป็นจำนวนมาก
ภูมิภาคสุวรรณภูมิเคยถูกชาวมอญ เขมรและมาเลย์ปกครองมาก่อน ต่อมา คนไทยได้สถาปนาอาณาจักรของตนเอง เช่น อาณาจักรสุโขทัย ไล่เลี่ยกันกับอาณาจักรล้านนา อาณาจักรเชียงแสน และอาณาจักรอยุธยา อาณาจักรสุโขทัยเจริญรุ่งเรืองในช่วงเวลาค่อนข้างสั้นประมาณ 200 ปี ก็ถูกผนวกรวมกับอาณาจักรอยุธยา
อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรที่รุ่งเรืองมั่งคั่ง เป็นศูนย์กลางการค้าระดับนานาชาติ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครอง ซึ่งบางส่วนใช้สืบมาจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และยังทรงตราพระราชกำหนดศักดินา ทำให้อยุธยาเป็นสังคมศักดินา อยุธยาเริ่มติดต่อกับชาติตะวันตกเมื่อ พ.ศ. 2054 หลังโปรตุเกสยึดครองมะละกา หลังจากนั้นใน พ.ศ. 2112 กรุงศรีอยุธยาตกเป็นประเทศราชของราชวงศ์ตองอูแห่งพม่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงประกาศอิสรภาพในอีก 15 ปีให้หลัง อาณาจักรอยุธยาเจริญถึงขีดสุดหลังจากนั้น ทั้งความสัมพันธ์กับต่างประเทศก็รุ่งเรืองมากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมลง จนล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิงใน พ.ศ. 2310
พระยาตากได้รวบรวมไพร่พลกอบกู้เอกราช และย้ายราชธานีมายังกรุงธนบุรี รัชสมัยของพระองค์ถือเป็นช่วงเวลาของการทำสงครามและการฟื้นฟูความเจริญของชาติ อาณาจักรธนบุรีมีพระมหากษัตริย์ปกครองพระองค์เดียว กินระยะเวลาเพียง 15 ปี แล้วพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเมื่อวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2325 กรุงรัตนโกสินทร์ยังเผชิญกับภัยคุกคามจากประเทศเพื่อนบ้าน กระทั่งรัชกาลที่ 4
การลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริง ทำให้ชาติตะวันตกหลายชาติเข้ามาทำสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมอีกหลายฉบับ ต่อมา แม้จะมีการยกดินแดนให้ฝรั่งเศสและอังกฤษหลายครั้ง แต่สยามไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก กุศโลบายของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทำให้ไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง โดยอยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร อันทำให้สยามได้รับการยอมรับจากนานาประเทศ และนำมาซึ่งการแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรมทั้งหลาย
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 เกิดการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไตย ทำให้คณะราษฎรเข้ามามีบทบาทในทางการเมือง ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้ลงนามเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่น แต่ในช่วงสงครามเย็น ประเทศไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับสหรัฐอเมริกา มีนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในภูมิภาค
หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยยังถือได้ว่าอยู่ในระบอบเผด็จการในทางปฏิบัติอยู่หลายทศวรรษ ประเทศไทยประสบกับความไร้เสถียรภาพทางการเมือง และมีการสืบทอดอำนาจรัฐบาลทหารผ่านรัฐประหารหลายสิบครั้ง อย่างไรก็ดี หลังจากนั้นได้มีเหตุการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ ประชาธิปไตยในประเทศเริ่มมีความมั่นคงยิ่งขึ้น
เนื้อหา   
1 การแบ่งยุคสมัย
2 ยุคก่อนประวัติศาสตร์และรัฐโบราณในประเทศไทย
2.1 หลักฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์
2.2 ชนพื้นเมืองและการอพยพเข้ามาในประเทศไทย
2.3 แนวคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไท
2.4 รัฐโบราณในประเทศไทย
3 สมัยอาณาจักรสุโขทัย และยุครุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนา
3.1 สาเหตุการเลือกอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย
4 สมัยอาณาจักรอยุธยา
5 สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์
5.1 รัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
5.2 การเผชิญหน้ากับมหาอำนาจตะวันตก
5.3 การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง
5.4 สงครามโลกครั้งที่สอง
5.5 สงครามเย็น
5.6 การพัฒนาประชาธิปไตย
6 อ้างอิง
7 บรรณานุกรม
8 ดูเพิ่ม
การแบ่งยุคสมัย

การจัดแบ่งยุคทางประวัติศาสตร์ของไทยนั้น สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงแสดงพระทัศนะไว้ในพระนิพนธ์เรื่อง "ตำนานหนังสือพระราชพงศาวดาร" ในพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาเมื่อ พ.ศ. 2457 ถึงการแบ่งยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ของไทยไว้ว่า "เรื่องพระราชพงศาวดารสยาม ควรจัดแบ่งเป็น 3 ยุค คือ เมื่อกรุงสุโขทัยเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานียุค 1 เมื่อกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานียุค 1"[2] ซึ่งการลำดับสมัยทางประวัติศาสตร์แบบเส้นตรง (Linear) โดยวางโครงเรื่องผูกกับกำเนิดและการล่มสลายของรัฐ กล่าวคือใช้รัฐหรือราชธานีเป็นศูนย์กลางเช่นนี้ ยังคงมีอิทธิพลอยู่มากต่อการเข้าใจประวัติศาสตร์ไทยในปัจจุบัน
ในปัจจุบัน มีข้อเสนอใหม่ ๆ เกี่ยวกับโครงเรื่องประวัติศาสตร์ไทยขึ้นมาบ้าง ที่สำคัญคือ ศ.ดร.นิธิ เอียวศรีวงศ์ได้เสนอถึงหัวข้อสำคัญที่ควรเป็นแกนกลางของประวัติศาสตร์แห่งชาติไทยไว้ 8 หัวข้อ ดังนี้[3]
การตั้งถิ่นฐานของผู้คน นับตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ถึงยุคประวัติศาสตร์ตอนต้น
การเข้ามาของอารยธรรมใหญ่ คืออินเดียและจีน
ความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในคริสต์ศตวรรษที่ 13
ยุคสมัยของการค้า (คริสต์ศตวรรษที่ 15-17)
ก่อนสมัยใหม่
รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยาม
การปฏิวัติ 2475 และกำเนิดรัฐประชาชาติในทางทฤษฎี
การปฏิวัติ 14 ตุลาคม 2516
ยุคก่อนประวัติศาสตร์และรัฐโบราณในประเทศไทย



แผนที่แสดงรัฐโบราณในอาณาเขตประเทศไทยปัจจุบัน
หลักฐานยุคก่อนประวัติศาสตร์
นักโบราณคดีชาวฮอลันดา ดร. เอช. อาร์. แวน ฮิงเกอเรน ได้ขุดค้นพบเครื่องมือหินเทาะซึ่งทำขึ้นโดยมนุษย์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ บริเวณใกล้สถานีบ้านเก่า จังหวัดกาญจนบุรี โดยมีข้อสันนิษฐานว่ามนุษย์เหล่านี้อาจเป็น มนุษย์ชวาและมนุษย์ปักกิ่ง[4] ซึ่งอยู่อาศัยเมื่อประมาณ 5 แสนปีมาแล้ว อันเป็นหลักฐานในยุคหินเก่า
ในประเทศไทยพบหลักฐานของมนุษย์ยุคหินกลางในหลายจังหวัด โดยที่อำเภอไทรโยค ได้ขุดค้นพบเครื่องมือหินและโครงกระดูก จึงทำให้สันนิษฐานว่าดินแดนซึ่งแม่น้ำกลองไหลผ่านได้มีมนุษย์อยู่อาศัยมานานกว่า 20,000 ปี[5] ส่วนเครื่องปั้นดินเผาที่เก่าที่สุดในประเทศไทย อายุเกือบ 1,000 ปี ถูกค้นพบที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน[4] จึงทำให้เกิดแนวคิดที่ว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นถิ่นกำเนิดของการกสิกรรมครั้งแรกของโลก[6] นอกจากนี้ยังค้นพบขวานหินขัดในหลายภาคของประเทศไทย ซึ่งเป็นหลักฐานของมนุษย์ยุคหินใหม่[7]
การขุดค้นโดยวิทยา อันทรโกศัย แห่งกรมศิลปากร ทำให้พบโครงกระดูกและเศษผ้าไหมติดกระดูกเครื่องปั้นดินเผาที่บ้านเชียง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งคาดว่ามีอายุถึง 3,000 ปี[8] ก่อนที่การค้นพบหลักฐานเพิ่มเติมที่ตำบลโคกพนมดี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งยืนยันว่ามีอายุ 5,000 ปี อาจเป็นจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมสูง และเผยแพร่ไปส่ประเทศจีนและส่วนอื่น ๆ ของทวีปเอเชีย[9] นายดอน ที บายาด ยังได้ขุดค้นขวานทองแดงในบ้านโนนนกทา จังหวัดขอนแก่น ยืนยันถึงการใช้เครื่องสำริดในยุคหินใหม่ ซึ่งเก่าแก่กว่าหลักฐานที่ขุดค้นพบในจีนและอินเดียกว่า 500-1,000 ปี[7]
ชนพื้นเมืองและการอพยพเข้ามาในประเทศไทย
นักมานุษยวิทยาได้จัดประเภทมนุษย์สมัยโบราณรุ่นแรกในตระกูลออสโตเนเซียน ซึ่งเป็นพวกที่อพยพเข้ามาในประเทศไทยเมื่อหลายพันปีที่แล้ว รวมทั้งเป็นบรรพบุรุษของชนชาติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ปัจจุบัน[9] ต่อมา มนุษย์ในตระกูลมอญและเขมรจะอพยพเข้ามาจากจีนหรืออินเดียด้วย ก่อนที่พวกไทยจะอพยพเข้ามาแย่งชิงดินแดนจากพวกละว้า ซึ่งเป็นชนชาติล้าหลัง[10] ชาวเขาที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยปัจจุบันจึงสันนิษฐานว่าสืบเชื้อสายมาจากพวกละว้า[10]
แนวคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไท
ดูบทความหลักที่ แนวคิดเกี่ยวกับถิ่นกำเนิดของชนชาติไท
รัฐโบราณในประเทศไทย
จากหลักฐานด้านโบราณคดี ตำนาน นิทานพื้นบ้าน บันทึกราชการของจีน และบันทึกของพระภิกษุจีนในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในพุทธศตวรรษที่ 12 ทำให้ทราบว่ามีอารยธรรมมนุษย์ได้สถาปนาอำนาจในประเทศไทยเป็นเวลานานแล้ว[11] โดยอาณาจักรโบราณในดินแดนประเทศไทยปัจจุบัน สามารถจำแนกได้ดังรายชื่อด้านล่าง[12]
อาณาจักรทวารวดี
อาณาจักรละโว้
อาณาจักรฟูนัน
อาณาจักรขอม
แคว้นจำปาศักดิ์ อาณาจักรเจนละ
แคว้นศรีจนาศะปุระ
อาณาจักรโคตรบูร
อาณาจักรหริภุญชัย
อาณาจักรโยนกเชียงแสน
รัฐผั่น-ผั่น
อาณาจักรตามพรลิงก์
รัฐลังกาสุกะ
รัฐเชียะโท้
สมัยอาณาจักรสุโขทัย และยุครุ่งเรืองของอาณาจักรล้านนา

ดูบทความหลักที่ อาณาจักรสุโขทัย และ อาณาจักรล้านนา
นครรัฐของไทยค่อย ๆ เป็นอิสระจากจักรวรรดิขะแมร์ที่เสื่อมอำนาจลง กล่าวกันว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงสถาปนาราชอาณาจักรที่เข้มแข็งและมีเอกราชเมื่อ พ.ศ. 1781 อาณาจักรสุโขทัยมีการปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราช แต่ในรูปแบบที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า ปิตุราชา หรือ พ่อปกครองลูก ที่ผู้ปกครองใกล้ชิดกับผู้ใต้ปกครอง ราษฎรสามารถสั่นกระดิ่งหน้าพระราชวังเพื่อร้องทุกข์แก่พระมหากษัตริย์ได้โดยตรง อาณาจักรสุโขทัยแผ่ขยายดินแดนออกไปอย่างกว้างขวางในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช ผู้ประดิษฐ์อักษรไทย หากเป็นช่วงสั้น ๆ เสถียรภาพของอาณาจักรได้อ่อนแอลงภายหลังการสวรรคตของพระองค์[13] รัชสมัยพญาลิไทมีการเปลี่ยนรูปแบบการปกครองมาเป็นธรรมราชา จากการรับอิทธิพลของศาสนาพุทธนิกายเถรวาท แบบลังกาวงศ์ อาณาจักรสุโขทัยเสื่อมลงและตกเป็นเมืองขึ้นของรัฐไทยอีกรัฐหนึ่งที่อุบัติขึ้น คือ อาณาจักรอยุธยาในพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง
ในเวลาไล่เลี่ยกัน อาณาจักรล้านนาถูกก่อตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 1802 โดยพญามังราย ที่ขยายอำนาจมาจากลุ่มแม่น้ำกกและอิง สู่ลุ่มแม่น้ำปิง พญามังรายได้สร้างเมืองเชียงใหม่ และทรงมีสัมพันธ์อันดีกับพ่อขุนรามคำแหงแห่งสุโขทัย อาณาจักรเชียงใหม่หรือล้านนา มีอำนาจสืบต่อมาในแถบลุ่มแม่น้ำปิง เชียงใหม่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ราบรื่นนักกับอาณาจักรอยุธยา หรือกรุงศรีอยุธยา ที่เรืองอำนาจในพุทธศตวรรษที่ 19-20 มีการทำสงครามผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดเชียงใหม่ได้ปราชัยต่อพม่า ในปีพ.ศ. 2101 ถูกพม่ายึดครองอีกครั้งในราวปี 2310 กระทั่งเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2318 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และ พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ ได้ทรงขับไล่พม่าออกจากดินแดนล้านนา โดยหลังจากนั้น พระเจ้าบรมราชาธิบดีกาวิละ ได้ทรงปกครองอาณาจักรล้านนา ในฐานะประเทศราชสยาม
สาเหตุการเลือกอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย
นักวิชาการให้เหตุผลในการเลือกเอาอาณาจักรสุโขทัยเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทยไว้ 2 เหตุผล ได้แก่:
วิชาประวัติศาสตร์มักจะยึดเอาการที่มนุษย์เริ่มมีภาษาเขียนเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ หลักฐานประเภทลายลักษณ์ถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งเมื่อประกอบกับการประดิษฐ์อักษรไทยขึ้นในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหงมหาราช จึงเหมาะสมที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์ไทย
เป็นการสะดวกในด้านการนับเวลาและเหตุการณ์ที่ต่อเนื่องกัน ทั้งนี้ นักประวัติศาสตร์มีหลักฐานความสืบเนื่องกันตั้งแต่สมัยสุโขทัยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน
ทว่า เหตุผลทั้งสองประการก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นเอกฉันท์นัก[14]
สมัยอาณาจักรอยุธยา

ดูบทความหลักที่ อาณาจักรอยุธยา
พระเจ้าอู่ทองทรงก่อตั้งอาณาจักรอยุธยาในปี พ.ศ. 1893 ซึ่งในช่วงแรกนั้นก็มิได้เป็นศูนย์กลางของชาวไทยในดินแดนคาบสมุทรอินโดจีนทั้งปวง แต่ด้วยความเข้มแข็งที่ทวีเพิ่มขึ้นประกอบกับวิธีการทางการสร้างความสัมพันธ์กับชาวไทยกลุ่มต่าง ๆ ในที่สุดอยุธยาก็สามารถรวบรวมกลุ่มชาวไทยต่าง ๆ ในดินแดนแถบนี้ให้เข้ามาอยู่ภายใต้อำนาจได้ นอกจากนี้ยังกลายมาเป็นรัฐมหาอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างรวดเร็ว
การเข้าแทรกแซงสุโขทัยอย่างต่อเนื่องทำให้อาณาจักรสุโขทัยตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรอยุธยาในที่สุด สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถทรงปฏิรูปการปกครองโดยการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง การยึดครองมะละกาของโปรตุเกสในปี พ.ศ. 2054 ทำให้อยุธยาเริ่มการติดต่อกับชาติตะวันตก ในสมัยอาณาจักรอยุธยามีการติดต่อกับต่างประเทศอยู่หลายชาติ โดยชาวโปรตุเกสได้เดินทางมายังกรุงศรีอยุธยาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 16 หลังจากนั้น ชาติที่เข้ามาอาศัยอยู่ในกรุงศรีอยุธยาเป็นจำนวนมากและมีบทบาทสำคัญ ได้แก่ ชาวดัตช์ ชาวฝรั่งเศส ชาวจีน และชาวญี่ปุ่น
ราวกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 เมื่อราชวงศ์ตองอูของพม่าเริ่มมีอำนาจมากขึ้น การสงครามอันยาวนานนับตั้งแต่ พ.ศ. 2091 ส่งผลให้อยุธยาตกเป็นประเทศราชของอาณาจักรตองอูในที่สุด ก่อนที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชจะทรงประกาศอิสรภาพในอีก 15 ปีต่อมา
อาณาจักรอยุธยาเป็นอาณาจักรที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล จากทิศเหนือจรดอาณาจักรล้านนา ไปจรดคาบสมุทรมลายูทางทิศใต้ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของอยุธยารุ่งเรืองขึ้นอย่างมากในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อย่างไรก็ตาม ความสงสัยในตัวของคอนสแตนติน ฟอลคอน ทำให้ถูกสังหารโดยพระเพทราชา อาณาจักรอยุธยาเริ่มเสื่อมอำนาจลงราวพุทธศตวรรษที่ 24 การทำสงครามกับพม่าหลังจากนั้นส่งผลทำให้อยุธยาถูกปล้นสะดมและเผาทำลาย เมื่อปี พ.ศ. 2310
สมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์

รัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ดูบทความหลักที่ อาณาจักรธนบุรี
ในปี พ.ศ. 2310-2325 เริ่มต้นหลังจากที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีได้ขับไล่ทหารพม่าออกจากแผ่นดินไทย ทำการรวมชาติ และได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่กรุงธนบุรี โดยจัดตั้งการเมืองการปกครอง มีลักษณะการเมืองการปกครองยังคงดำรงไว้ซึ่งการเมืองการปกครองภายในสมัยอยุธยาอยู่ก่อน โดยมีพระมหากษัตริย์มีอำนาจเด็ดขาดในการเมืองการปกครอง อย่างไรก็ตาม ภายหลังสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกได้สถาปนาตนขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และทรงย้ายเมืองหลวงมายังกรุงเทพมหานคร เริ่มยุคสมัยแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
ในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1790 กองทัพพม่าถูกขับไล่ออกจากดินแดนรัตนโกสินทร์อย่างถาวร และทำให้แคว้นล้านนาปลอดจากอิทธิพลของพม่าเช่นกัน โดยล้านนาถูกปกครองโดยราชวงศ์ที่นิยมราชวงศ์จักรีนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา จนกระทั่งถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยามอย่างเป็นทางการ
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไทยยังเผชิญกับการรุกรานจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้แก่ สงครามเก้าทัพ, สงครามท่าดินแดงกับพม่า ตลอดจนกบฏเจ้าอนุวงศ์กับลาว และอานามสยามยุทธกับญวน
ในช่วงนี้ กรุงรัตนโกสินทร์ยังไม่ค่อยมีการติดต่อค้าขายกับชาติตะวันตกมากนัก ต่อมาเมื่อชาวตะวันตกเริ่มเข้ามาค้าขายอีก ได้ตระหนักว่าพวกพ่อค้าจีนได้รับสิทธิพิเศษเหนือคนไทยและพวกตน จึงได้เริ่มเรียกร้องสิทธิพิเศษต่าง ๆ มาโดยตลอด[15] มีการเดินทางเยือนของทูตหลายคน อาทิ จอห์น ครอเฟิร์ต ตัวแทนจากบริษัทอินเดียตะวันออกของอังกฤษ[15] ซึ่งเข้ามาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย แต่ยังไม่บรรลุข้อตกลงใด ๆ สนธิสัญญาที่มีการลงนามในช่วงนี้ เช่น สนธิสัญญาเบอร์นี และสนธิสัญญาโรเบิร์ต[15] แต่ก็เป็นเพียงข้อตกลงที่ไม่มีผลกระทบมากนัก และชาวตะวันตกไม่ค่อยได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มมากขึ้นแต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ได้มีคณะทูตตะวันตกเข้ามาเสนอสนธิสัญญาข้อตกลงทางการค้าอยู่เรื่อย ๆ เพื่อขอสิทธิทางการค้าให้เท่ากับพ่อค้าจีน และอังกฤษต้องการเข้ามาค้าฝิ่นอันได้กำไรมหาศาล[15] แต่ไม่ประสบความสำเร็จ ทั้งคณะของเจมส์ บรุคจากอังกฤษ และโจเซฟ บัลเลสเตียร์จากสหรัฐอเมริกา ทำให้ชาวตะวันตกขุ่นเคืองต่อราชสำนัก
การเผชิญหน้ากับมหาอำนาจตะวันตก
ดูบทความหลักที่ กรุงรัตนโกสินทร์ และ การเปลี่ยนแปลงดินแดนของสยามและไทย
ดูเพิ่มที่ สยาม
ภายหลังจากที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษในปี พ.ศ. 2369 พระมหากษัตริย์ไทยในรัชสมัยถัดมาจึงทรงตระหนักถึงภัยคุกคามที่มาจากชาติมหาอำนาจในทวีปยุโรป และพยายามดำเนินนโยบายทอดไมตรีกับชาติเหล่านั้น อย่างไรก็ตาม สยามมีการเปลี่ยนแปลงดินแดนหลายครั้ง รวมทั้งตกอยู่ในสถานะรัฐกันชนระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ถึงกระนั้น สยามก็ไม่ตกเป็นอาณานิคมของชาติตะวันตก
การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง
ดูบทความหลักที่ การปฏิวัติสยาม พ.ศ. 2475
ดูเพิ่มที่ ความเคลื่อนไหวสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองสยาม และ ลำดับเหตุการณ์คณะราษฎร
เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ได้มีกลุ่มบุคคลที่เรียกว่า คณะราษฎร ได้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครอง จากสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นเหตุการณ์ที่สร้างความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองแก่ประเทศไทยอย่างมาก และทำให้สถาบันพระมหากษัตริย์ที่เคยเป็นผู้ปกครองสูงสุดของประเทศมาช้านานต้องสูญเสียอำนาจส่วนใหญ่ไปในที่สุด โดยมีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. 2475 ขึ้นเป็นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยอย่างถาวรเป็นฉบับแรก
ภายหลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงดังกล่าว การต่อสู้ทางการเมืองยังคงมีการต่อสู้กันระหว่างผู้นำในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช กับระบอบใหม่ รวมทั้งความขัดแย้งในผู้นำระบอบใหม่ด้วยกันเอง โดยการต่อสู้ทางการเมืองและทางความคิดอุดมการณ์นี้ได้ดำเนินต่อเนื่องยาวนานเป็นเวลากว่า 25 ปีภายหลังจากการปฏิวัติ และนำไปสู่ยุคตกต่ำของคณะราษฎรในกาลต่อมา ทำให้การเปลี่ยนแปลงการปกครองดังกล่าวถูกมองว่าเป็นพฤติการณ์ "ชิงสุกก่อนห่าม" เนื่องจากชาวไทยยังไม่พร้อมสำหรับการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งการปกครองในระยะแรกหลังการปฏิวัติยังคงอยู่ในระบอบเผด็จการทหาร
สงครามโลกครั้งที่สอง
ดูบทความหลักที่ สงครามโลกครั้งที่สองในประเทศไทย
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ได้มีการเดินขบวนเรียกร้องให้รัฐบาลเอาดินแดนคืนของนิสิตนักศึกษา จอมพลแปลก พิบูลสงคราม จึงส่งทหารข้ามแม่น้ำโขงและรุกรานอินโดจีนฝรั่งเศส จนได้ดินแดนคืนมา 4 จังหวัด ภายหลังการเข้าไกล่เกลี่ยของญี่ปุ่น โดยมีการรบที่เป็นที่รู้จักกันมาก ได้แก่ การรบที่เกาะช้าง
ต่อมา หลังจากการโจมตีกองทัพเรือสหรัฐอเมริกาที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ กองทัพญี่ปุ่นก็ได้รุกรานประเทศไทย โดยต้องการเคลื่อนทัพผ่านดินแดน รัฐบาลจอมพลแปลก พิบูลสงครามได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น รวมทั้งลงนามในสนธิสัญญาพันธมิตรทางการทหารกับญี่ปุ่น และประกาศสงครามต่อสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร ซึ่งนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลถูกต่อต้านจากทั้งในและนอกประเทศ เนื่องจากไทยประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ
หลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2488 แม้ว่าประเทศไทยจะตกอยู่ในสถานะประเทศผู้แพ้สงคราม แต่เนื่องจากการเคลื่อนไหวของขบวนการเสรีไทย ทำให้ฝ่ายสัมพันธมิตรยอมรับ และไม่ถูกยึดครอง เพียงแต่ต้องคืนดินแดนระหว่างสงครามให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส และจ่ายค่าเสียหายทดแทนเท่านั้น
สงครามเย็น
ดูเพิ่มที่ คอมมิวนิสต์ในประเทศไทย, สงครามเกาหลี และ สงครามเวียดนาม
รัฐบาลไทยได้ดำเนินนโยบายเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาในระหว่างสงครามเย็น ดังจะเห็นได้จากนโยบายต่อต้านการขยายตัวของคอมมิวนิสต์ในคาบสมุทรอินโดจีน และยังส่งทหารไปร่วมรบกับฝ่ายพันธมิตร ได้แก่ สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม
ประเทศไทยประสบกับปัญหากองโจรคอมมิวนิสต์ในประเทศระหว่างคริสต์ทศวรรษ 1960 และ 1970 อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวก็ไม่ค่อยจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศสักเท่าไหร่ และกองโจรก็หมดไปในที่สุด
การพัฒนาประชาธิปไตย
หลังจากปัจจัยแวดล้อมด้านต่าง ๆ ได้รับการพัฒนาขึ้น ประชาชนมีความพร้อมต่อการใช้อำนาจอธิปไตยเพิ่มมากขึ้น การเรียกร้องอำนาจอธิปไตยคืนจากฝ่ายทหารก็เกิดขึ้นเป็นระยะ กระทั่งในที่สุด ภายหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2516 ฝ่ายทหารก็ไม่สามารถถือครองอำนาจอธิปไตยได้อย่างถาวรอีกต่อไป อำนาจอธิปไตยจึงได้เปลี่ยนไปอยู่ในมือของกลุ่มนักการเมือง ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มบุคคลสามกลุ่มหลัก คือ กลุ่มทหารที่เปลี่ยนบทบาทมาเป็นนักการเมือง กลุ่มนายทุนและผู้มีอิทธิพล และกลุ่มนักวาทศิลป์ แต่ต่อมาภายหลังจากการสิ้นสุดลงของยุคสงครามเย็น โลกได้เปลี่ยนมาสู่ยุคการแข่งขันกันทางการค้าซึ่งมีความรุนแรงเป็นอย่างมาก กลุ่มการเมืองที่มาจากกลุ่มทุนนิยมสมัยใหม่ได้เข้ามามีบทบาทแทน

History of Thailand

Thai peoples who originally lived in southwestern China migrated into mainland Southeast Asia over a period of many centuries. The oldest known mention of their existence in the region by the exonymSiamese is in a 12th-century A.D. inscription at the Khmer temple complex of Angkor Wat in Cambodia, which refers to syam, or "dark brown" people.[1] It was believed that Siam derived from the Sanskrit word syam, or brown race, with a contemptuous signification. Sien in Chinese writings is the name for the northern kingdom that centered around Sukhothai and Sawankalok; but to the Siamese themselves, the name of the country has always been Mueang Thai.[2]
The country's designation as Siam by Westerners likely came from Portuguese, the first Europeans to give a coherent account of the country. Portuguese chronicles noted that the king of Sukhothai had sent an expedition to Malacca at the southern tip of the Malay Peninsula in 1455. Following theirconquest of Malacca in 1511, the Portuguese sent a diplomatic mission to Ayutthaya. A century later, on 15 August 1612, The Globe, an East India Company merchantman bearing a letter from King James I, arrived in "the Road of Syam" .[3] "By the end of the 19th century, Siam had become so enshrined in geographical nomenclature that it was believed that by this name and no other would it continue to be known and styled."[4]
Indianized kingdoms such as the MonKhmer and Malay kingdoms had ruled the region. Thai peopleestablished their own states starting with SukhothaiChiang Saen and Chiang Mai and Lanna Kingdomand then Ayutthaya kingdom. These states fought each other and were under constant threat from theKhmers, Burma and Vietnam. Much later, the European colonial powers threatened in the 19th and early 20th centuries, but Thailand survived as the only Southeast Asian state to avoid European colonial rule because the French and the English decided it would be a neutral territory to avoid conflicts between their colonies. After the end of the absolute monarchy in 1932, Thailand endured sixty years of almost permanent military rule before the establishment of a democratic elected-government system.
Prehistoric Thailand
Initial states of Thailand
Prior to the southwards migration of the Thai people from Yunnan in the 10th century, the Indochina peninsula had been a home to various indigenous animistic communities for as far back as 500,000 years ago. The recent discovery of Homo erectus fossils such asLampang man is but one example. The remains were first discovered during excavations in Lampang province, Thailand. The finds have been dated from roughly 1,000,000–500,000 years ago in the Pleistocene. There are myriad sites in Thailand dating to the Bronze (1500 BC-500 BC) and Iron Ages (500 BC-AD 500). The most thoroughly researched of these sites are located in the country's Northeast, especially in the Mun and Chi River valleys. The Mun River in particular is home to many 'moated' sites which comprise mounds surrounded by ditches and ramparts. The mounds contain evidence of prehistoric occupation.
Around the 1st century AD, according to Funan epigraphy and the records of Chinese historians (Coedes), a number of trading settlements of the South appear to have been organized into several Malay states, among the earliest of which are believed to beLangkasuka and Tambralinga. Some trading settlements show evidences of Roman trade: a Roman gold coin showing Roman emperorAntoninus Pius (161 AD) has been found in southern Thailand.
Ancient civilizations
Prior to the arrival of the Thai people and culture into what is now Thailand, the region hosted a number of indigenous Mon-Khmer andMalay civilizations. Yet little is known about Thailand before the 13th century as the literary and concrete sources are scarce and most of the knowledge about this period is gleaned from archeological evidence.
Dvaravati
Main article: Dvaravati
A 13 meter long reclining Buddha, Nakhon Ratchasima

The Chao Phraya valley in what is now Central Thailand had once been the home ofMon Dvaravati culture, which prevailed from the 7th century to the 10th century.[5] The existence of the civilizations had long been forgotten by the Thai when Samuel Beal discovered the polity among the Chinese writings on Southeast Asia as “Tou-lo-po-ti”. During the early 20th century the archeologists led by George Coedès made grand excavations on what is now Nakorn Pathom and found it to be a center of Dvaravati culture. The constructed name Dvaravati was confirmed by a Sanskrit plate inscription containing the name “Dvaravati”.
Khmer period sculpture of Vishnu, ~10th century

Later on, many more Dvaravati sites were discovered throughout the Chao Phraya valley. The two most important sites were Nakorn Pathom and Uthong (in the present Suphanburi Province). The inscriptions of Dvaravati were in Sanskrit and Mon using the script derived from the Pallava script of the Indian Pallava dynasty. The religion of Dvaravati is thought to be Theravada through contacts with Sri Lanka, with the ruling class also participating in Hindu rites. The Dvaravati art, including the Buddha sculptures and stupas, showed strong similarities to those of the Gupta dynasty of India. The most prominent production of Dvaravati art are theThammachakras or the Stone Wheels signifying Buddhist principles. The eastern parts of the Chao Phraya valley were subjected to a more Khmer and Hindu influence as the inscriptions are found in Khmer and Sanskrit.[6]
Dvaravati was not a kingdom but a network of city-states paying tributes to more powerful ones according to themandala model. Dvaravati culture expanded into Isan as well as southwards as far as the Isthmus of Kra. Dvaravati was a part of ancient international trade as Roman artifacts were also found and Dvaravati tributes to the Tang court are recorded. The culture lost power around the 10th century when were submitted by a more unified Lavo-Khmer polity.
Si Kottaboon
In what is considered as present day Isan another Indianized kingdom of Si Kottaboon rose with the capital of Nakhon Phanom. The territory of Si Khottaboon covered mostly northern Isan and central Laos.
Southern Thailand
Below the Isthmus of Kra was the place of Malay civilizations. Primordial Malay kingdoms are described as tributaries to Funan by 2nd-century Chinese sources – though most of them proved to be tribal organizations instead of full-fledged kingdoms.[7] From the 6th century onwards, two major mandalas ruled Southern Thailand – the Kanduli and the Langkasuka. Kanduli centered on what is nowSurat Thani Province and Langasuka on Pattani. Southern Thailand was the center of Hinduism and Mahayana. The Tang dynasty monk I Ching stopped at Langkasuka to study Pali grammar and Mahayana during his journey to India around 800 AD. At that time, the kingdoms of Southern Thailand quickly fell under the influences of the Malay kingdom of Srivijaya from Sumatra.
Classical era
From about the 10th century to the 14th century Thailand was known through archeological findings and a number of local legends. The period saw the Khmer domination over a large portion of Chao Phraya basin and the Isan. The expansion of Tai people and culture southwards also happened during the classical era.
Hariphunchai
Main article: Hariphunchai
A Buddha from Wat Kukkut, Lamphun

According to the Jamadevivamsa, the city of Hariphunchai (modern Lamphun) was founded by the hermits; Jamadevi, a Lavo princess, was invited to rule the city in around 700 AD. However, the date is considered too early for the foundation of Hariphunchai as Jamadevi brought no Thammachakras to the north. Hariphunchai may be a later (about the 10th century) offshoot of the Lavo kingdom or instead related to the Thaton kingdom.
Hariphunchai was the center of Theravada in the north. The kingdom flourished during the reign of King Attayawong who built the Dhatu of Hariphunchai in 1108. The kingdom had strong relations to another Mon kingdom of Thaton. During the 11th century, Hariphunchai waged lengthy wars with the Tai Ngoenyang kingdom of Chiang Saen. Weakened by Tai invasions, Hariphunchai eventually fell in 1293 to Mangrai the Great, king of Lanna, the successor state of the Ngoenyang kingdom.
Arrival of the Tais
The most recent and accurate theory about the origin of the Tai people stipulates thatGuangxi province in China is really the Tai motherland instead of Yunnan province. A large number of Tai people, known as the Zhuang, still live in Guangxi today. Around 700 AD, Tai people who did not come under Chinese influence settled in what is now Dien Bien Phu in modern Vietnam according to the Khun Borom legend. From there, the Tais began to radiate into northern highlands and founded the cities of Luang Prabang and Chiang Saen.
The Simhanavati legend tells us that a Tai chief named Simhanavati drove out the native Wa people and founded the city of Chiang Saen around 800 AD. For the first time, the Tai people made contact with the Indianizedcivilizations of Southeast Asia. Through Hariphunchai, the Tais of Chiang Saen adopted Theravada Buddhism and Sanskrit royal names. The Dhatu of Doi Tung, constructed around 850 AD, signified the piety of Tai people on the Theravada religion. Around 900 AD, major wars were fought between Chiang Saen and Hariphunchai. The Mon forces captured Chiang Saen and its king fled. In 937, Prince Prom the Great took Chiang Saen back from the Mon and inflicted severe defeats on Hariphunchai.
Around 1000 AD, Chiang Saen was destroyed by an earthquake with all the inhabitants killed. A council was established to govern the kingdom for a while, and then a local Wa man known as Lavachakkaraj was elected the King of the new city of Chiang Saen orNgoenyang. The Lavachakkaraj dynasty would rule over the region for about 500 years.
The overpopulation might have encouraged the Tais to seek their fortune further southwards. By 1100 AD, the Tai had established themselves as Po Khuns (ruling fathers) at NanPhrae, Songkwae, Sawankhalok, Chakangrao, etc. on the upper Chao Phraya valley. These southern Tai princes faced Khmer influence from Lavo. Some of them became subordinates to the Lavo-Khmer polity.
Lavo
Main article: Lavo kingdom

The Khmer temple of Wat Phra Prang Sam Yod in Lopburi

Around the 10th century, the city-states of Dvaravati merged into two mandalas – the Lavo (modern Lopburi) and the Supannabhum (modern Suphanburi). According to a legend in the Northern Chronicles, in 903, a king of Tambralinga invaded and took Lavo and installed a Malay prince to the Lavo throne. The Malay prince was married to a Khmer princess who had fled an Angkorian dynastic bloodbath. The son of the couple contested for the Khmer throne and became Suryavarman I, thus bringing Lavo under Khmer domination through personal union. Suryavarman I also expanded into the Khorat Plateau (later styled Isan), constructing many temples.
Suryavarman, however, had no male heirs and again Lavo was independent. King Anawrathaof Bagan invaded Lavo in 1058 and took a Lavo princess as his wife. The power of the Lavo kingdom reached the zenith in the reign of Narai (1072–1076). Lavo faced Burmese invasions under Kyanzittha, whose mother was the Lavo princess, in 1080 but was able to repel. After the death of Narai, however, Lavo was plunged into bloody civil war and the Khmer under Suryavarman II took advantage by invading Lavo and installing his son as the King of Lavo.
The repeated but discontinued Khmer domination eventually "Khmerized" Lavo. Lavo was transformed from a Theravadic Monic Dvaravati city into a Hindu Khmer one. Lavo became the entrepôt of Khmer culture and power of the Chao Phraya river basin. The bas-relief at Angkor Wat showed a Lavo army as one of the subordinates to Angkor. However, one interesting note is that a Tai army was shown as a part of Lavo army, a century before the establishment of the Sukhothai kingdom.
Sukhothai and Lanna
Main article: Sukhothai kingdom
Main article: Lanna

Southeast Asia c.1300 CE, showing Khmer Empire in red, Lavo kingdom in light blue, Sukhothaiempire in orange, Champa in yellow,Dai Viet in blue and Kingdom ofLanna in purple.


The ruins of Wat Mahathat, Sukhothai Historical Park


Phra Achana, Wat Si Chum, Sukhothai Historical Park

Thai city-states gradually became independent from the weakened Khmer Empire. It is said that Sukhothai was established as a sovereign, strong kingdom by Pho Khun Si Indrathit in 1238 AD. A political feature which "classic" Thai historians call "father governs children" existed at this time. Everybody could bring their problems to the king directly, as there was a bell in front of the palace for this purpose. The city briefly dominated the area under King Ramkhamhaeng, who established the Thai alphabet, but after his death in 1365, Sukothai fell into decline and became subject to another emerging Thai state: theAyutthaya Kingdom in the lower Chao Phraya area.
Another Thai state that coexisted with Sukhothai was the eastern state of Lanna, centred in Chiang Mai. King Phya Mangrai was its founder. This city-state emerged in the same period as Sukhothai. Evidently Lanna became closely allied with Sukhothai. After theAyutthaya kingdom had emerged and expanded its influence from the Chao Phraya valley, Sukhothai was finally subdued. Fierce battles between Lanna and Ayutthaya also constantly took place and Chiang Mai was eventually subjugated, becoming Ayutthaya's 'vassal'.
Lanna's independent history ended in 1558, when it finally fell to the Burmese; thereafter it was dominated by Burma until the late 18th century. Local leaders then rose up against the Burmese with the help of the rising Thai kingdom of Thonburi of king Taksin. The 'Northern City-States' then became vassals of the lower Thai kingdoms of Thonburi and Bangkok. In the early 20th century they were annexed and became part of modern Siam, the country now called Thailand.
Ayutthaya
Main article: Ayutthaya kingdom

Southeast Asia c.1400 CE, showing Khmer Empire in red,Ayutthaya Kingdom in violet, Lan Xang kingdom in teal, Sukhothai Kingdom in orange, Champa in yellow, Kingdom of Lanna in purple,Dai Viet in blue.

Kosa Pan to Louis XIV in 1686, by Jacques Vigouroux Duplessis



Siamese King Naresuan fighting the Burmese crown prince Mingyi Swa at the battle of Yuthahatthi in January 1593.

Ayutthaya in the 17th century

The city of Ayutthaya was located on a small island, encircled by three rivers. Due to its superior location, Ayutthaya quickly became powerful, politically and economically. Ayutthaya had different, various names ranging from 'Ayothaya', derived from Ayodhya, an Indian holy city,'Krung Thep', 'Phra Nakorn' and 'Dvaravati'.
The first ruler of the Kingdom of Ayutthaya, KingRamathibodi I (ruled 1351 to 1369), made two important contributions to Thai history: the establishment and promotion of Theravada Buddhism as the official religion – to differentiate his kingdom from the neighbouringHindu kingdom of Angkor – and the compilation of theDharmashastra, a legal code based on Hindu sources and traditional Thai custom. The Dharmashastra remained a tool of Thai law until late in the 19th century. In the 417 years of existence, the Ayutthaya kingdom was frequently plagued by internal fighting but this did not prevent its rise as a major power on mainland Southeast Asia.
Ayutthaya's culture and traditions became the model for the next period in Thai history, the Bangkok based Rattanakosin Kingdom of the Chakri Dynasty.
Beginning with arrival of Portuguese ambassador Duarte Fernandes in 1511, Ayutthaya, known to the Europeans as 'Kingdom of Siam', came into contact with the West during the 16th century. It became one of the most prosperous cities in East Asia. According to George Modelski, Ayutthaya is estimated to have been the largest city in the world in 1700 CE, with a population of around 1 million.[8] Trade flourished with the Dutch and French among the most active foreigners in the kingdom together with the Chinese and Japanese.
The Ayutthaya period is known as "Golden age of medicine in Thailand" due to progress in the field of medicine at that time.[9]
In 1563 AD, 15 years after Suriyothai died, Prince Bayinnong ascended to the throne as the King of Hongsawadee, the heir of the King Tabengchaweti. He led his army past the Maelamao border taking over the northern cities on his way to the Kingdom of Ayodhya. Once King Bayinnong had control over Kampaenphet, Sukhothai, and Sawankhalok, he led his forces to the northern kingdom of Phitisanulok. King Bayinnong defeated Phitisanulok and took the eldest son of the King of Phitisanulok, Prince Ong Dam (or Prince Naresuan). Prince Ekkathat was Prince Naresuan's younger brother and was trained in the military skills and traditions of Burma. In 1581, King Bayinnong died of an illness from his coming of a conflict battle against the Kingdom of Yakkai[clarification needed]. The son of King Bayinnong became king afterwards. Some of the Northern states revolted against Hongsadee including Phitsanulok, Ayodhya, and Mon to gain independence.
Ayutthaya expanded its sphere of influence over a considerable area, ranging from the Islamic states on the Malay Peninsula, the Andaman ports of present day Myanmar, the Angkor kingdom of Cambodia, to states in northern Thailand. In the 18th century, the power of the Ayutthaya Kingdom gradually declined as fighting between princes and officials plagued its political arena. Outlying principalities became more and more independent, ignoring the capital's orders and decrees.
In the 18th century, the last phase of the kingdom arrived. The Burmese, who had taken control of Lanna and had also unified their kingdom under the powerful Konbaung Dynasty, launched several blows against Ayutthaya in the 1750s and 1760s. Finally, in 1767, after several months of siege, the Burmese broke through Ayutthaya's walls, sacked the city and burned it down. The royal family fled the city and Ayutthaya's last king Ekkathat died of starvation ten days later while in hiding. The Ayutthaya royal line had been extinguished. Overall there had been 33 kings in this period, including an unofficial king.
Five dynasties ruled the Ayutthaya Kingdom:
  1. U-Thong Dynasty which consisting of 3 kings
  2. Suphanabhumi Dynasty consisting of 13 kings
  3. Sukhothai Dynasty consisting of 7 kings
  4. Prasart Thong (Golden Palace) Dynasty consisting of 4 kings
  5. Bann Plu Dynasty consisting of 6 kings
Thonburi and Bangkok period
After more than 400 years of power, in 1767, the Kingdom of Ayutthaya was brought down by invading Burmese armies, its capital burned, and the territory split. General Taksin (now known as King Taksin the Great) managed to reunite the Thai kingdom from his new capital of Thonburi and declared himself king in 1769. However, later due to stress and many factors, King Taksin went mad. General Chakri (later becoming Rama I) helped run the empire instead. The King Taksin ordained as a monk and ventured into the forest and never to be seen again. General Chakri succeeded him in 1782 as Rama I, the first king of the Chakri dynasty. In the same year he founded the new capital city across the Chao Phraya river in an area known as Rattanakosin Island. (While settlements on both banks were commonly called Bangkok, both the Burney Treaty of 1826 and the Roberts Treaty of 1833 refer to the capital as the City of Sia-Yut'hia.[10]) In the 1790s, Burma was defeated and driven out of Siam, as it was then called. Lanna also became free of Burmese occupation, but was reduced to the Kingdom of Chiangmai: the king of the new dynasty was installed as a tributary ruler of the Chakri monarch.
The heirs of Rama I became increasingly concerned with the threat of European colonialism after British victories in neighboring Burma in 1826. The first Thai recognition of Western power in the region was the Treaty of Amity and Commerce with the United Kingdom in 1826 and the Bowring Treaty in 1855. In 1833, United States diplomatist Edmund Roberts exchanged a treaty with Siam, updated in1856, 1945 and 1949. Numerous treaties with foreign powers were signed during the reigns of King Mongkut (1804–1868), and his son King Chulalongkorn (1853–1910). Chulalongkorn retained Belgian attorney Gustave Rolin-Jaequemyns as "General Advisor" to act in a confidential attorney-client relationship on reforms to establish firm rapprochement with Western powers. Among his successors wereEdward Strobel, the first American Adviser in Foreign Affairs, followed with lesser titles by Jens Westengard, Eldon James and Francis B. Sayre. Strobel, Westengard, James and Sayre were all Harvard Law Professors.[11] It is a widely held view in Thailand that the diplomatic skills of these monarchs, combined with the modernising reforms of the Thai government, made Siam the only country in Southeast Asia to avoid European colonisation. This is reflected in the country's modern name, Prathet Thai or Thai‐land, used since 1939 (although the name was reverted to Siam during 1945–49), in which prathet means "nation".
The Anglo-Siamese Treaty of 1909 defined the modern border between Siam and British Malaya by securing Thai authority over the provinces of PattaniYalaNarathiwat and Satun, which were previously part of the semi‐independent Malay sultanates of Pattani andKedah. A series of treaties with France fixed the country's current eastern border with Laos and Cambodia.
End of absolute monarchy, and military rule
The Siamese revolution of 1932 was led by a group of young military officers and civil servants. The group held key figures, ministers who were of the royal blood as hostages while the king, Rama VII, was at the summer palace in Hua Hin. The coup, usually called 'The Revolution of 1932', transformed the Government of Thailand from an absolute to a constitutional monarchy. The cabinet was presided by the prime minister. Military men always played a significant role in the politics even before 1932. Already in 1912, during the Rama VI reign, young soldiers who had plotted a coup urging a constitution and a change of the king's status had been arrested.
King Rama VII Prajadhipok initially accepted this change, granting the Constitution but later abdicated from his position due to conflicts with the government. The revolutionary government decided to install his ten-year old nephew, Ananda Mahidol as the new monarch. Upon his abdication, King Prajadhipok said that the duty of a ruler was to reign for the good of the whole people, not for a selected few. Within a decade Thai politics ran into turmoil as the revolutionary government plunged into factions; military and civilian figures. Fear of communism, extreme revolutionary ideas and ultranationalism caused the sharp fighting among the new ruling elites. Eventually the military faction emerged. The regime became authoritarian under the prime minister Plaek Phibunsongkhram, one of the members of the Revolutionary military wing. His regime was also famous in promoting the 'Pan-Thaism', the ultra-nationalist policy aiming at unifying Tai, Thai-speaking people nearby into the kingdom. Moreover, in 1941, Phibun regime decided to ally with Japan.
The young King Ananda Mahidol (Rama VIII) died in 1946 under somewhat mysterious circumstances, the official explanation being that he shot himself by accident while cleaning his gun. He was succeeded by his brother Bhumibol Adulyadej, the longest reigning king of Thailand, and very popular with the Thais. Although nominally a constitutional monarchy, Thailand was ruled by a series of military governments, most prominently led by Plaek Phibunsongkhram and Sarit Dhanarajata, interspersed with brief periods of democracy.
In early January 1941, Thailand invaded French Indochina, beginning the French-Thai War. The Thais, well equipped and slightly outnumbering the French forces, easily reclaimed Laos. The French, outnumbering the Thai navy force, decisively won the naval Battle of Koh Chang.

Australian and Dutch prisoners of war at Tarsau in Thailand, 1943

The Japanese mediated the conflict, and a general armistice was declared on 28 January. On 9 May a peace treaty was signed in Tokyo, with the French being coerced by the Japanese into relinquishing their hold on the disputed territories.
On 8 December 1941, a few hours after the attack on Pearl Harbor, Japan demanded the right to move troops across Thailand to the Malayan frontier. Japan invaded Thailand and engaged the Thai army for six to eight hours before Phibunsongkhram ordered an armistice. Shortly thereafter Japan was granted free passage, and on 21 December 1941, Thailand and Japan signed a military alliance with a secret protocol wherein Tokyo agreed to help Thailand regain territories lost to the British and French (i.e. the Shan States of Burma, Malaya, Singapore, & part of Yunnan, plus Laos & Cambodia) Subsequently, Thailand undertook to 'assist' Japan in its war against the Allies. Japan's distrust of Thailand extended to the point of rearming their 'ally' with controlled munitions, including the famous Siamese Mauser, which was manufactured in an unusual caliber. The Seri Thai (Free Thai Movement) was an underground resistance movement against Japan founded by Seni Pramoj, the Thai ambassador in Washington, with the assistance of the United States Office of Strategic Services (OSS.) Led from within Thailand from the office of the regent Pridi, it operated freely, often with support from members of the Royal family such as Prince Chula Chakrabongse, and members of the government.
After Japan's defeat in 1945, due to the help of Seri Thai, American support mitigated Allied terms, although the British demanded reparations in the form of rice sent to Malaya, and the French, return of territories lost in the Franco-Thai War. In exchange for supporting Thailand's admission to the United Nations, the Soviet Union demanded repeal of anticommunist legislation. It should also be noted that some former British POWs erected a monument expressing gratitude to the citizens of Ubon Ratchathani. In the postwar period, Thailand had close relations with the United States, which it saw as a protector from communist revolutions in neighboring countries. See United States Air Force in Thailand.
Communist guerrillas existed in the country from early '60s up to 1987, counting almost 12,000 full-time fighters at the peak of movement, but never posed a serious threat to the state.
Recently, Thailand also has been an active member in the regional Association of Southeast Asian Nations (ASEAN), especially after democratic rule was restored in 1992.
Democracy
Post-1973 has been marked by a struggle to define the political contours of the state. It was won by the King and General Prem Tinsulanonda, who favored a monarchy constitutional order.
The post-1973 years have seen a difficult and sometimes bloody transition from military to civilian rule, with several reversals along the way. The revolution of 1973 inaugurated a brief, unstable period of democracy, with military rule being reimposed after the 6 October 1976 Massacre. For most of the 1980s, Thailand was ruled by Prem Tinsulanonda, a democratically inclined strongman who restored parliamentary politics. Thereafter the country remained a democracy apart from a brief period of military rule from 1991 to 1992. The populist Thai Rak Thai party, led by prime minister Thaksin Shinawatra, came to power in 2001. He was popular with the urban, suburban and rural poor for his populist social programs, his rule came under attack from the elite who saw danger in his parliamentary dictatorship. Also in mid-2005, Sondhi Limthongkul, a well-known media tycoon, became the foremost Thaksin critic. Eventually Sondhi and his allies developed the movement into a mass protest and later unified under the name of People's Alliance for Democracy (PAD).
On 19 September 2006, after the dissolution of the parliament, Thaksin then became head of a provisional government. While he was in New York for a meeting of the UN, Army Commander-in-Chief Lieutenant General Sonthi Boonyaratglin launched the bloodlessSeptember 2006 Thailand military coup d'état supported by anti-Thaksin elements in civil society and among the Democrat Party. A general election on 23 December 2007 restored a civilian government, led by Samak Sundaravej of the People's Power Party, as a successor to Thai Rak Thai.
In mid-2008, the People's Alliance for Democracy (PAD) led large protests against the government of Prime Minister Samak Sundaravej, whom they criticized for his ties to former Prime Minister Thaksin Shinawatra. On 26 August 2008, the protesters illegally occupied several government ministries, including the Government House which they sacked, to force the government to give in to demands.[12]Beginning 29 August, protesters disrupted air and rail infrastructure, including Suvarnabhumi airport. They have never been prosecuted.[13] The chaos ended in December when three of the parties that formed the government were dissolved by the Constitutional Court for election fraud.[14] After this decision, many previous coalition partners of the government then defected and joined the main opposition party, the Democrat party, and refusing elections to immediately form a new government in the favour of the old guard elites.[15] On 3 July 2011, opposition Pheu Thai Party won general elections in a landslide.



ขอขอบคุณ
-http://th.wikipedia.org
-http://en.wikipedia.org

No comments:

Post a Comment